เมนู

489. อรรถกถาธรรมรุจิเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตทาหํ มาณโว อาสึ ความว่า สุเมธบัณฑิตได้รับพยากรณ์
จากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกรในกาลใดในกาลนั้นเรา
ชื่อว่า เมฆะ เป็นพราหมณ์หนุ่มบวชเป็นฤาษีร่วมกับสุเมธดาบส ศึกษาใน
สิกขาบททั้งหลายจบแล้วคลุกคลีกับเพื่อนชั่วบางคนเข้า เพราะโทษที่คลุก-
คลีสมาคมกันจึงตกไปในอำนาจแห่งวิตกที่ลามกเป็นต้น ด้วยกรรมคือการ
ฆ่ามารดา จึงได้เสวยทุกข์อันเนื่องด้วยเปลวไฟเป็นต้นในนรก จุจิจากอัตภาพ
นั้นแล้ว ได้บังเกิดเป็นปลาใหญ่ชื่อ ติมิงคละ ในมหาสมุทร มีความประสงค์
จะกลืนเรือใหญ่ที่แล่นไปในท่ามกลางมหาสมุทร จึงได้ว่ายไป พวกพ่อค้า
เห็นเราเข้าจึงกลัวร้องเสียงดังว่า โอ พระผู้มีพระภาคเจ้าโคดม ลำดับนั้น
ด้วยอำนาจวาสนาที่ได้อบรมมาในกาลก่อน ปลาใหญ่จึงเกิดความเคารพใน
พระพุทธเจ้า จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่สมบูรณ์
ด้วยสมบัติในกรุงสาวัตถี มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระ
ศาสดาแล้วบวช ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4 ได้ไปสู่ที่บำรุง
วันละ 3 ครั้ง ระลึกถึงไหว้อยู่ ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะ
เราว่า เป็นผู้ยินดีในธรรมได้นาน. ลำดับนั้น พระเถระรูปนั้นกล่าวชมเชย
ด้วยคาถาเป็นต้นว่า สุจิรํ สตปุญฺญลกฺขณํ ผู้ทรงพระลักษณะแห่งบุญตั้งร้อย
เสียนานดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้ทรงพระลักษณะแห่งบุญตั้งร้อยผู้เจริญ. บทว่า
ปติปุพฺเพน วิสุทฺธปจฺจยํ ความว่า ข้าพเจ้ามิได้พบเห็นท่านผู้มีปัจจัยสมภารที่
บำเพ็ญมาจนบริบูรณ์ ณ บาทมูลของพระพุทธเจ้าทีปังกรในกาลก่อนเสียนาน

แสนนาน. บทว่า อหมชฺช สุเปกขนํ ความว่า ในวันนี้นี่เอง ข้าพเจ้าได้
พบเห็นแล้วหนอ ซึ่งพระโคตรผู้มีพระสรีระอันปราศจากอุปมา นับว่าเป็นการ
เห็นด้วยดี หรือเป็นการเห็นที่งาม. บทว่า สุจิรํ วิหตตโม มยา ความว่า
พระองค์ทรงกำจัดความมืดได้แล้วโดยพิเศษ คือทรงกำจัดโมหะได้แล้ว แม้
ข้าพระองค์ ก็ได้ชมเชยแล้วเป็นอย่างดีตลอดกาลนาน. บทว่า สุจิรกฺเขน
นที วิโสสิตา ความว่า แม่น้ำคือตัณหานี้ ซึ่งข้าพระองค์รักษาคุ้มครองมา
เป็นอย่างดี ได้ให้เหือดแห้งไปโดยพิเศษแล้ว คือพระองค์ทำให้ไม่สมควร
จะเกิดได้อีก. บทว่า สุจิรํ อมลํ วิโสธิตํ ความว่า ข้าพระองค์ชำระพระนิพพาน
ให้หมดจดได้โดยกาลนาน คือพระองค์ทำให้ข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว. บทว่า
นยนํ ญาณมยํ มหามุเน จิรากาลสมงฺคิโต ความว่า ข้าแต่พระมหามุนีคือ
พระมหาสมณะ นัยน์ตาอันสำเร็จด้วยญาณ ถึงความพร้อมเพรียงกับพระองค์
ได้ ก็สิ้นเวลานานนักหนา. บทว่า อวินฏฺโฐ ปุนรนฺตรํ ความว่า ข้าพระองค์
ได้พินาศ คือเสื่อมเสียไปในระหว่างภพ คือในท่ามกลางอีกเป็นเวลานาน.
บทว่า ปุนรชฺชสมาคโต ตฺยา ความว่า วันนี้ คือในเวลานี้ข้าพระองค์ได้
มาสมาคมกับพระองค์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง. บทว่า น หิ นสฺสนฺติ
กตานิ โคตม ความว่า ข้าแต่พระโคดม คือ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า กรรมมี
การสมาคมเป็นต้น ที่ข้าพระองค์ได้ทำร่วมกับพระองค์จะไม่พินาศไป จน
กว่าจะดับขันธปรินิพพาน จึงจักไม่มี. คำที่เหลือ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาธัมมรุจิเถราปทาน

สาลมัณฑปิยเถราปทานที่ 10 (490)



[80] เราเข้าไปสู่ป่ารัง สร้างอาศรมอย่าง
สวยงาม มุงบังด้วยดอกรัง ครั้งนั้นเราอยู่ในป่า
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สยัมภูเกอัคร-
บุคคล ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง พระนามว่า ปิยทัสสี
ทรงประสงค์ความสงัด จึงได้เสด็จเข้าสู่ป่ารัง
เราออกจากอาศรมไปป่าเที่ยวแสวงหามูล
ผลาผลในป่า ณ เวลานั้น
ณ ที่นั้น เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าพระ-
นามว่า ปิยทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ ประทับนั่งเข้า
สมาบัติรุ่งโรจน์อยู่ในป่าใหญ่
เราปักเสา 4 เสา ทำปะรำอย่างเรียบร้อย
แล้วเอาดอกรังมุงเหนือพระพุทธเจ้า เราทรงปะรำ
ซึ่งมุงด้วยดอกรังไว้ 7 วัน ยังจิตให้เลื่อมใสใน
กรรมนั้น ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด
สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อุดมบุรุษ
เสด็จออกจากสมาธิประทับนั่งทอดพระเนตรดู
เพียงชั่วแอก
สาวกของพระศาสดาพระนามว่า ปิยทัสสี
ชื่อว่า วรุณ กับพระอรหันตขีณาสพแสนองค์ได้
มาเฝ้าพระศาสดาผู้นำชั้นพิเศษ